[SF] Choose ... (Baekhyun x Chanyeol x D.O.) - [SF] Choose ... (Baekhyun x Chanyeol x D.O.) นิยาย [SF] Choose ... (Baekhyun x Chanyeol x D.O.) : Dek-D.com - Writer

    [SF] Choose ... (Baekhyun x Chanyeol x D.O.)

    แม้ว่าใครคนหนึ่งจะต้องเจ็บ แต่เขาคนนี้ก็ต้องเลือก .. ปาร์คชานยอล จะ เลือก ใคร?

    ผู้เข้าชมรวม

    3,399

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    3.39K

    ความคิดเห็น


    27

    คนติดตาม


    55
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  25 ต.ค. 55 / 21:57 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น












    [SF] Choose ...


    Pairing : Baekhyun x Chanyeol x D.O.
    Rate : PG-13
    Author : Gornhai (gorn_dbsk)




    ---------------------------------





    talk :)

    เรื่องนี้แต่งมาตามอารมณ์เพลง เขาที่เพิ่งเจอกับเธอที่มาก่อน .. แล้วตรงท่อนพี่กวางร้องดันสะกิดให้อยากเขียนฟิคขึ้นมา
    ไปๆมาๆ เลยตัดสินใจแต่งเรื่องนี้ลัดคิวเรื่องอื่นเสียเลย ==* ลิงค์เพลงค่ะ http://www.youtube.com/watch?v=7o86Kt7SWiA
    *ออกตัวก่อนเลยนะคะว่าเรื่องนี้ไม่มีเนื้อหาอะไรมากนอกจากปล่อยอารมณ์ไปตามเพลง และอาจจะยาวในด้านเวิ่นเว้อไปสักหน่อย

    ยังไงลองอ่านดูนะคะ ... ขอบคุณค่ะ ^^




                                                        :: Gornhai (gorn_dbsk)
                                                       Twitter : @gorn_dbsk




     
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ






      “หวัดดีครับผู้กอง วันนี้ไปทานข้าวเร็วจังนะครับ”




      เสียงลูกน้องคนสำคัญตะโกนทักเมื่อร่างสูงโปร่งของเขาเดินผ่าน ปาร์คชานยอลนายตำรวจหนุ่มไฟแรงได้เพียงแค่ยิ้มกว้างส่งไปให้ นิสัยเป็นมิตรของเขาทำให้ใครๆต่างก็หลงใหล รอยยิ้มมีสเน่ห์นั้นคลายหายไปช้าๆเมื่อทั้งร่างเข้ามานั่งประจำอยู่ในรถ


      โทรศัพท์มือถือถูกดึงออกมาเปิดดูข้อความบางอย่าง ไม่ใช่ว่าไม่ดีใจหรอกนะ ดีใจจนเขาซึ้งเลยล่ะ ใครคนนั้นกำลังรออยู่ที่ร้านอาหารแน่ๆ ใครคนนั้นที่ไม่ได้เจอกันเป็นสัปดาห์

      “ว่างจนได้นะแพคฮยอน” เสียงทุ้มเอ่ยกับตัวเอง ก่อนจะรีบออกรถไปยังร้านอาหารตามที่อีกฝ่ายนัดมา








      ภายในร้านอาหารเกาหลีแห่งหนึ่ง มื้อกลางวันอย่างนี้หากแต่ลูกค้ากลับไม่มากจนแออัด จุดเด่นตรงนี้แหละที่พวกชอบมาด้วยกันบ่อยๆ ชานยอลพาดเสื้อนอกที่ใส่ทับเครื่องแบบไว้ที่พนักเก้าอี้อีกฝั่ง ชายหนุ่มไม่แปลกใจเลยที่อีกฝ่ายไม่ได้นั่งรออยู่อย่างที่คิด ชานยอลรู้ดีและชินกับมันแล้ว ร่างสูงสั่งอาหารรอคนรักที่อีกสักพักคงจะมาถึง

      สิบนาทีผ่านไป เสียงเร่งฝีเท้าของแพคฮยอนก็มาหยุดที่โต๊ะพอดีกับที่ชานยอลเงยหน้าขึ้น

      “มาช้าอีกแล้วนะ”

      “โทษทีนะชานยอล ลูกค้าเรื่องมากสุดๆ” ร่างเล็กทิ้งตัวนั่งลงด้วยความเหนื่อย ริมฝีปากบางบ่นอุบกับเรื่องงานของตัวเอง ก่อนที่ใบหน้าน่ารักจะงอง้ำลงเพราะอารมณ์บูดอย่างสุดจะเก็บ มือบางยกแก้วน้ำเปล่าตรงหน้าขึ้นดื่มก่อนจะพูดให้ช้าลงกว่าเดิม

      “ก็นายคิดดูสิ หัวหน้าให้ฉันรับงานนี้ไปเต็มๆ พรุ่งนี้ก็ต้องไปคุยอีก แถมเธอคนนี้เรื่องมากอย่างที่สุดเลย”

      “เหรอ .. ฉันเข้าใจ เอาใจช่วยนะ”

      “อืม ขอบใจนะ นายเข้าใจฉันดีที่สุดแล้วล่ะ” แพคฮยอนว่าพลางยิ้มตาหยีให้ ชานยอลจึงยื่นมือข้างหนึ่งมานี้ผมคนที่นั่งตรงข้ามแทน

      “นี่นาย ฉันต้องไปทำงานต่อนะ ผมเสียทรงหมด” ปากเล็กๆนั่นเบ้ใส่ก่อนจะยกมือขึ้นจัดผมตัวเองให้เข้าที่อย่างเดิม

      “ฮะฮะ เลิกบ่นแล้วเงียบๆเหอะน่ะ .. นั่นไง อาหารมาแล้ว”



      พนักงานสาววางอาหารลงที่โต๊ะก่อนจะเดินจากไป ด้วยความหิวทั้งสองจึงก้มหน้าก้มตาจัดการกับมัน จะยกเว้นก็แค่อีกคนที่เงยหน้าขึ้นมอง ชานยอลตักข้าวเข้าปากไปได้คำเดียวขณะที่มองแพคฮยอนไปด้วย คนตัวเล็กไม่ได้รู้เลยว่ากำลังถูกมองอยู่ สายตาเศร้าๆของชานยอลไม่ได้ทำให้แพคฮยอนรู้สึกตัวบ้างเลย ความเงียบแผ่ไปทั้งโต๊ะ มีเพียงเสียงช้อนและตะเกียบเท่านั้นที่บ่งบอกว่าต่างฝ่ายต่างกำลังทานอาหารอยู่

      “อ้าว .. นายไม่กินล่ะชานยอล เดี๋ยวเข้างานสายหรอก”

      “ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไม่รีบ”

      “คนของประชาชนพูดแบบนี้ได้ไงกัน”

      “งานเยอะอยู่หรอก แต่วันนี้อยู่ดึกด้วย เวลาเหลือเฟือ”

      “เข้าเวรเหรอ” แพคฮยอนถาม

      “เปล่าหรอก คดีเก่าปิดไม่ได้ สารวัตรเลยให้รื้อแฟ้มของปีก่อนมาตรวจดูอีกที” ชานยอลว่าก่อนจะทานอาหารเข้าไปอีกคำ แพคฮยอนพยักหน้าให้อย่างเข้าใจขณะที่อาหารเต็มปากอยู่ ชายหนุ่มยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอึกใหญ่ก่อนจะก้มดูนาฬิกาข้อมือ

      “แย่ล่ะ ฉันต้องรีบไปแล้วล่ะสิ”

      “จะไปแล้วเหรอ ครึ่งชั่วโมงเองนะที่มาเนี่ย”

      “ไม่ได้หรอก งานเยอะน่ะ เดี๋ยววันนี้กลับเข้าออฟฟิสนะ แล้วมีงานเลี้ยงกลางคืนอีก ฉันล่ะเหนื่อยจริงๆ”

      “งั้นคืนนี้ก็ ...” ชานยอลแค่จะบอกว่าดูแลตัวเองดีๆนะ

      “อื้ม กลับค่ำ นายก็อยู่ที่กองทั้งคืนใช่มั้ยล่ะ .. ไว้วันหลังฉันจะแวะไปหาที่บ้านแล้วกัน”


      แพคฮยอนว่า ซึ่งเรื่องแบบนี้ชานยอลรู้ดี เขาเข้าใจว่าอีกฝ่ายงานยุ่งมาก ขณะที่ตัวเขาก็ใช่ว่าจะว่างอะไรนักหนา แต่หากเทียบกันแล้ว .... ช่างมันเถอะ ชานยอลมักจะนึกให้มันจบลงแบบนี้ทุกที


      เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเงียบไปครู่หนึ่ง แพคฮยอนก็มีสีหน้าหม่นลงบ้าง

      “ชานยอล..” เขาเรียกเสียงอ่อน

      “ว่าไง”

      “นายไม่ได้โกรธฉันใช่ไหม”

      “โกรธอะไรล่ะ”

      “ก็วันนี้เจอกันแค่นิดเดียวเอง”

      “ฮ่าๆๆ บ้าไปแล้วแพคฮยอน แต่เวลาที่นายทำหน้าคิดมากก็เข้าท่านะ” เสียงทุ้มเอ่ยพลางหัวเราะกลบเกลื่อนไป เขาไม่อยากเห็นแพคฮยอนเศร้าเลยนี่นา

      “ไอ้บ้า .. ฉันล่ะอุตส่าห์คิด ดันมาหัวเราะซะได้” แพคฮยอนยู่ปากให้ก่อนจะลุกพรวดแล้วคว้ากระเป๋าเดินออกไป ทำให้ชานยอลต้องเรียกเอาไว้ ร่างเล็กที่ห่างออกไปจึงหันกลับมาโบกมือให้พลางทำปากพูดประมาณว่าขอบใจนะที่เลี้ยง ชานยอลเห็นอย่างนั้นก็โบกมือกลับไปให้อย่างช่วยไม่ได้ แพคฮยอนก็แบบนี้ล่ะนะ ไม่มีใครหยุดความมั่นใจแบบนั้นของอีกฝ่ายได้หรอก


      เมื่อแพคฮยอนออกจากร้านไปแล้วก็เหลือแค่เขาคนเดียว ชานยอลละสายตาจากร่างที่หายไปจนลับตา นายตำรวจหนุ่มก้มมองอาหารที่โต๊ะซึ่งในส่วนของเขามันพร่องหายไปแค่นิดเดียวเท่านั้น ถ้าแพคฮยอนจะสังเกตและมีคำถามบ้าง ไม่สิ แพคฮยอนกำลังรีบเลยไม่ทันจะถามมากกว่า .. แต่ก็ไม่อีกนั่นแหละ ก็อีกฝ่ายถามเขาไปแล้วนี่นา


      “เฮ้อ .......”

      ความรู้สึกของผู้ชายคนหนึ่งที่มีให้คนรัก มันไม่เคยหายไปไหน แค่เขาต้องการให้เวลาระหว่างกันมันมากขึ้น แค่เขาอยากได้เวลาจากอีกฝ่ายบ้าง อยากจะรั้งให้อยู่ด้วยกันนานขึ้น หรือยากให้ถามให้ห่วงมากกว่านี้

      ชานยอลสะบัดหัวไล่ความคิดเหล่านั้น เขาจะเอาอะไรกับอีกฝ่ายกันแน่ มันไม่ยุติธรรมเลยที่แพคฮยอนยุ่งเรื่องงานจนไม่มีเวลา แต่เขากลับมาคิดแบบนี้เสียได้

      ชานยอลทิ้งเวลาให้เดินไปสักพัก เขาคิดทบทวนกับอะไรบางอย่างในหัว ขณะที่กำลังตัดสินใจอยู่นั้นความต้องการโดยไร้หลักเหตุผลก็เป็นฝ่ายชนะในที่สุดอย่างทุกที มือหนาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาชั่งใจอีกรอบ แล้วจึงกดลงไปตามใจต้องการ




      “คยองซูเหรอ .. ว่างมั้ย พักรึยัง”










      ไม่กี่นาทีคนที่ถูกเรียกให้ออกมาหาก็ปรากฏตัวขึ้น โดคยองซู ชายหนุ่มอายุมากกว่าชานยอลเพียงหนึ่งปี หากแต่ตำแหน่งงานกลับเป็นคนละส่วนกัน คยองซูทำงานอยู่ในกองสืบสวนกับชานยอลเพียงแต่เขาไม่ใช่ตำรวจ แต่เป็นเจ้าหน้าที่ด้านแผนกข้อมูลโดยตรง

      ร่างเล็กยิ้มให้ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามกับชานยอล ที่เดียวกับที่แพคฮยอนนั่งอยู่เมื่อก่อนหน้านี้ พนักงานคงมาเก็บจานช้าไปจึงทำให้คยองซูดูออกว่ามีคนอยู่ก่อนเขาแล้ว

      “คุณเรียกผมมาทานข้าวอย่างเดียวเหรอ” คยองซูถาม

      “ก็ใช่น่ะสิ นายไม่ว่างเหรอ”

      “ก็แล้วถ้าผมไม่ว่างล่ะครับ .. คุณจะทานกับใคร”

      จู่ๆคำถามย้อนกลับที่น้ำเสียงกับสายตาคนพูดเหมือนจะสื่ออะไรบางอย่างก็ทำให้คนฟังเงียบไป ชานยอลมองหน้าคยองซูที่จ้องตาเขาไม่กระพริบ คยองซูรู้สึกตัวจึงเบนหน้าก้มมองโต๊ะแล้วเอ่ยประโยคต่อมาเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ ร่างเล็กรีบฝืนยิ้มทันที

      “ล้อเล่นน่ะ ว่างอยู่แล้ว แค่เกรงใจคุณมากกว่า” คยองซูไหวไหล่บอก ดวงจากลมโตตวัดมองคนตรงหน้าพลางยิ้มให้อย่างเก่า ให้ตายสิ ชานยอลก็เพิ่งมารู้ตัวนี่แหละว่าเขาชอบรอยยิ้มของคนๆนี้เหลือเกิน

      “ฮึ .. เกรงใจ ได้ข่าวว่าฉันเลี้ยงนายจนจะหมดตัวแล้วล่ะน่า” ชานยอลเอ่ยแซว

      “อะไรกันครับ คุณอาสาเองนะ”

      “ฮ่าๆๆๆ ตัวเล็กแต่กินจุแบบนายอย่ามาเถียงเลย”

      “ผมไม่เถียงหรอก เถียงคุณทีไรแพ้ตลอด”


      คนทั้งสองมองหน้ากันพลางหัวเราะ ขณะที่ทานอาหารกันไปก็ต่างพูดคุยกันไปไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว

      ชานยอลไม่ได้ปิดบังเลยว่าก่อนหน้านี้เขามากับใคร ซึ่งคยองซูก็รู้แต่ไม่ได้ถามออกไป

      เพื่อนเหรอ .. เขาสองคนเป็นแค่เพื่อนกันงั้นเหรอ ต่างฝ่ายต่างมีคำถามอยู่ในใจ แต่แค่ไม่แสดงออกมาเท่านั้น





      ----------





      ถ้าให้ตัวฉันเลือกตามหัวใจ ก็คงเลือกเขา
      ถ้าเอาเหตุผลว่าตามที่ถูก ก็คงเลือกเธอ
      ตั้งแต่มีเขา ฉันเองรู้สึกอุ่นใจเสมอ
      แต่ว่าเธอนั้นเป็นคนที่มาก่อน มันเหนื่อยหัวใจ





      สามทุ่มครึ่ง เวลาที่พวกเขาควรจะได้พักผ่อน แต่กลับต้องมานั่งจมอยู่กับกองเอกสารทั้งชั้น ชานยอลพยักหน้าให้ลูกน้องสองคนออกไปซื้อของข้างนอกได้ ตอนนี้เขาจึงอยู่กับคยองซูเพียงลำพัง

      “ขอบใจที่มาช่วยนะ ทั้งที่นายไม่ต้องอยู่ก็ได้” ชานยอลบอกขณะที่โต๊ะทำงานของเขาจะเต็มไปด้วยกองเอกสารของปีก่อน ซึ่งมันยังวางอยู่ที่พื้นข้างโต๊ะอีกหลายกอง ยังไม่นับกับที่อยู่บนชั้นอีก

      “ไม่อยู่ได้ที่ไหน มันงานของผมเลยนะที่ต้องช่วยพวกคุณเรื่องข้อมูลน่ะ “ คยองซูตะโกนบอกขณะที่เขากำลังยืนอยู่บนบันไดที่พาดอยู่กับชั้นเอกสารข้างผนัง ร่างเล็กเลื่อนสายตาหาแฟ้มที่ต้องการแล้วทยอยดึงมันออกมา

      “ฮะ ฮึบ” มันอาจต้องใช้พลังแขนสักหน่อย ก็ทั้งโหนตัวกับบันไดแล้วไหนจะต้องหาและดึงแฟ้มหนักๆออกมาอีก ถึงคยองซูจะเป็นคนดูแลด้านนี้แต่เพราะขนาดตัวที่เล็กกว่าผู้ชายปกติจึงทำให้เขาดูจะทุลักทุเลอยู่บ้าง


      ทั้งหมดนั้นอยู่ในสายตาของชานยอลทั้งหมด ร่างสูงไม่มีอารมณ์จะทำงานต่อเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูจะน่าเป็นห่วงเหลือเกิน

      “เฮ้ ..คยองซู คยองซู” ชานยอลตะโกนเรียก

      “ว่าไงครับ”

      “ลงมาเถอะ เดี๋ยวฉันปีนเองดีกว่านายมาจัดไอ้กองนี้ดีกว่านะ ฉันยังไม่ได้หาเลย”

      “แต่ผมว่า..”

      “บอกลงมาก็ลงมาเหอะน่ะ” ชานยอลทำเสียงดุพลางลุกเดินตรงไปหา

      “แต่ผมว่านะ ผมรู้ดีว่ามันอยู่ตรงไหน ...อ๊ะ เฮ้ย!” ขณะที่เอี้ยวตัวกลับมาเพื่อจะบอก บันไดทีเอียงอยู่แล้วบวกกับการไม่ระวังก็ทำให้ร่างทั้งร่างเสียหลัก ชานยอลที่วิ่งมาพอดีก็ตกใจไม่แพ้กัน


      โครม!!

      สองร่างทับกันลงมาโดยที่คนตัวเล็กกว่าจะทับอยู่ด้านบน นายตำรวจหนุ่มรั้งร่างเล็กเอาไว้ขณะที่ตัวเองจะนอนแผ่อยู่ด้านล่าง

      “อ๊ะ .. คุณ เป็นอะไรมากมั้ย” คยองซูยันตัวเองเพื่อดูคนอีกคนให้ชัดๆ ชานยอลยกยิ้มให้อย่างเคย

      “สบายมาก แค่รับนายที่ตกลงมาเนี่ย สบายกว่างัดแขนพวกวัยรุ่นติดยาตั้งเยอะแน่ะ” ว่าแล้วก็ยิ้มให้อีกจนคนเป็นห่วงชักอยากจะค้อนใส่ แต่คยองซูก็ได้เพียงแค่ถอนหายใจ ร่างเล็กๆของชายหนุ่มขยับเพื่อจะหนีสภาพที่ทับกันอยู่ แต่แขนแกร่งดันล็อคเข้าที่เอวซะนี่ ใบหน้าขาวๆตวัดมองคนใต้ร่างที่ตอนนี้ใบหน้าห่างกันอยู่ไม่ถึงคืบ

      “อะไรครับ”

      “.........” ชานยอลไม่ตอบ เอาแต่จ้องคยองซูอยู่อย่างนั้น

      “คุณ อะไรกันครับ”

      “เดี๋ยว...” แขนแกร่งดันคนบนร่างให้อยู่นิ่งๆ เขาแค่อยากอยู่แบบนี้นานๆก็แค่นั้นเอง แต่คยองซูจะรู้อะไรล่ะ

      “ปล่อยได้แล้วมั้งครับ”

      “แค่อยากอยู่แบบนี้อีกนิด”

      “.........”


      ต่างฝ่ายต่างจ้องกันก่อนที่คนที่ทนไม่ไหวจะเบนหน้าหลบ คยองซูหลับตาลงตั้งสติกับความอึดอัดที่ทรมานหัวใจของเขา พวงแก้มขาวสัมผัสได้ถึงความอุ่นจากริมฝีปากที่แนบแผ่วๆเข้ามา


      ชานยอลชะงักตัวเองไปนิดก่อนที่จะมากกว่านั้น








      “อ้าว!! แพคฮยอนมายืนอยู่ทำไมล่ะ เข้าไปสิ” เสียงดังๆจากหนึ่งในสองคนที่โผล่พรวดเข้ามาทำให้ชานยอลกับคยองซูรีบผละออกจากกันทันที ทั้งสองหันมองมาที่ประตูพร้อมกันด้วยความตกใจ


      แพคฮยอนยืนถือถุงขนมที่หิ้วมาเยอะแยะกำลังเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับจงอินและเซฮุนที่กลับเข้ามาพร้อมกับเส
      บียงที่ออกไปซื้อ จากที่ได้ยินเสียง ชานยอลก็รู้ได้เลยว่าแพคฮยอนคงมายืนอยู่ก่อนแล้ว แต่สองคนนั้นกลับเข้ามาเจอ เลยดึงให้เข้ามาด้วยกัน


      “แพคฮยอน ดึกป่านนี้ ไหนว่างานเลี้ยงเลิกแล้วจะกลับบ้าน” ชานยอลเอ่ยถาม ขณะที่หัวใจกำลังเต้นผิดจังหวะ ไม่ต่างกับคยองซูที่ยิ้มให้คนมาใหม่แล้วจึงหันไปก้มเก็บแฟ้มที่ตกลงมาด้วย


      แพคฮยอนยืนนิ่งก่อนจะยิ้มออกมาหน่อยๆ ท่าทีพูดไม่ออกและพยายามทำปกติกลบเกลื่อนไป หากเทียบกับสายตาที่ไม่กล้าจะสบมาตรงๆอย่างเคยนั้น ทำไมอีกคนจะดูไม่ออก


      บรรยากาศเงียบไปครู่หนึ่ง รวมถึงลูกน้องสองคนของผู้กองชานยอลที่พอเข้าใจบางอย่างแล้วก็เผลอนิ่งไปด้วยเช่นกัน


      “เอ่อ .. คือ อยากมาหาน่ะ”

      “แล้วไม่บอกก่อนล่ะ” ชานยอลถามอย่างเป็นห่วง

      “อยากให้นายตกใจเล่น” แพคฮยอนตอบเสียงแผ่วๆเหมือนพยายามมากกว่าจะเสียงดังฟังชัดอย่างปกติ

      ถ้าเป็นเวลาปกติหรือแต่ก่อน ชานยอลคงจะดีใจจนหัวใจพองคับอก ใช่ว่าตอนนี้จะไม่ดีใจนะ แต่มันแปลบๆในอกบอกไม่ถูก ...





      “เฮ้ .. กินขนมกันเหอะ พักเบรกมั่ง” จู่ๆคิมจงอินก็พรวดประโยคตัดบรรยากาศออกมาเสียงดัง โดยมีโอเซฮุนส่ายหน้าให้อย่างรับไม่ได้กับการเอะอะโวยวายไร้มารยาทอย่างนี้



      คยองซูวุ่นกับการค้นแฟ้มเอกสารที่มุมนั้นต่อไป ขณะที่ชานยอลจะนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งโดยมีแพคฮยอนนั่งอยู่ตรงข้าม นายตำรวจหนุ่มยศน้อยกว่าอีกสองคนก็พากันนั่งแกะเสบียงอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องพลางคุยกันอยู่เงียบๆ


      ทุกอย่างปกติดี

      ยกเว้น

      โดคยองซูที่รู้ตัวว่าจิตใจไม่ได้อยู่ที่งานเลย ใบหน้าเล็กแอบลอบมองคนทั้งสองที่นั่งอยู่ด้วยกัน
      ปาร์คชานยอลเองที่ดูมีความสุขดีนั้นในอกก็ปวดแปลบกับคนตรงหน้าที่เข้ามาไม่ถูกเวลา แต่ใจลึกๆกลับแคร์ใครอีกคนไม่แพ้กัน
      พยอนแพคฮยอนที่รู้สึกว่าหายใจไม่ออกแต่ก็ทำตัวปกติได้อย่างแนบเนียน ถึงจะรู้ว่าสายตาของคนตรงหน้าจะหันมองไปทางใครอีกคนก็ตาม


      บรรยากาศในคืนนี้จึงเป็นไปด้วยความอึดอัดอยู่ในที



      จะยังไงคนนึงก็ต้องเจ็บ
      หากว่าฉันตัดสินใจ
      จะยังไงคนนึงก็ต้องปวด
      จะให้ฉันทำยังไงกับเหตุการณ์นี้






      “ไม่ต้องหรอกชานยอล แค่นี้จะลงไปส่งทำไม”

      “ก็อยากไป”

      “ไม่ต้องหรอก ..ทำงานเหอะ ฉันไปนะ” แพคฮยอนยิ้มตาหยีให้พลางโบกมือลาอีกสามคนในห้อง ดวงตาคู่เรียวตวัดมองหน้าคนรักก่อนจะหันหลังเดินจากมา
      ที่ลานจอดรถ ชายหนุ่มปลดล็อคมันอย่างรวดเร็วก่อนจะเข้าไปนั่งประจำที่คนขับตามด้วยเสียงกระแทกประตูปิดลง



      ทางด้านผู้กองหนุ่มที่คิดไม่ตกกับเรื่องที่เกิด พอหันกลับมาหน่อยก็สบเข้ากับสายตาเรียบนิ่งของใครอีกคน คยองซูไม่ได้พูดอะไรกับชานยอลอีกเลยในคืนนั้น เหตุการณ์ทั้งหมดปรากฎแก่สายตาของลูกน้องทั้งสอง หากแต่พวกเขาก็ได้แต่เพียงมองหน้ากันเท่านั้น





      แต่จะบอกว่ารักเธอไหม ก็รัก
      แต่จะบอกว่ารักเขาไหม ก็รัก
      แต่จะบอกว่า ตัวฉันเองก็ลำบากไปทั้งหัวใจ
      และจะบอกว่ามีหนึ่งคนเท่านั้น
      ที่จะได้เข้ามาอยู่ภายในหัวใจ
      และไม่ว่าอย่างไร ในคำตอบสุดท้าย
      ก็ไม่ได้อยากทำร้ายใคร







      ------------------




      ร่างสูงโปร่งกรอกเสียงสนทนากับโทรศัพท์มือถือเป็นเวลาสิบนาทีได้แล้ว

      “เดี๋ยวแพคฮยอน .. นายไม่ใช่เด็กแล้วนะ หยุดเอาแต่ใจได้แล้ว”

      “แต่ก่อนนายไม่เคยพูดแบบนี้นะ”

      “ก็นายโตแล้ว เราไม่ใช่เด็กๆ เรื่องไม่เป็นเรื่องน่ะ” ชานยอลหงุดหงิดเต็มทีกับการที่อีกฝ่ายจากที่พูดจากันดีๆกลับกลายเป็นเอาแต่ใจกับเรื่องไร้สาระขึ้นมาได้ ชานยอลอาจชินแล้วแต่เขาก็มีความอดทนเหมือนกัน ที่สำคัญเพราะเป็นห่วงจึงไม่อยากให้แพคฮยอนเป็นคนไม่มีเหตุผลแบบนี้

      “อืม .. ขอโทษก็ได้ แล้วเรื่องที่นัดไปกินข้าวบ้านนายน่ะ ยกเลิกนะ ติดงาน”

      “ว่าไงนะ”

      “ก็ เย็นนี้ต้องประชุม เพิ่งรู้เมื่อกลางวันเอง โทษทีนะ”

      “อืม”

      “นายไม่โกรธใช่มั้ย”

      “อืม ไม่โกรธหรอก”


      ชานยอลอยู่บ้านคนเดียว แต่เขาไม่ได้เหงาที่ไม่มีใคร เพียงแค่ตอนนี้ใจมันเหนื่อยจนชาไปแล้ว




      -----------------------




      - ซุปเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่ง –


      “ทะเลาะกับแพคฮยอนเหรอครับ” คยองซูถามแทรกผ่านความเงียบขึ้นระหว่างที่เดินอยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ตกับชานยอล พวกเขากลับมาจากการไปหาข้อมูลตามหน่วยงานข้างนอกมา ข้างนอกฝนตกหนักชานยอลจึงแวะมาหาอะไรดื่มแก้เหนื่อย

      “ก็ ทำนองนั้น”

      “เพราะผมรึเปล่า”

      “ไม่เอาน่ะ”

      “ได้ไงครับ .. ผมว่าเรา ห่างๆกันไว้น่าจะดีกว่า”

      “คยองซู .. ” ชานยอลเรียกชื่อราวกับจะขอร้อง แค่อีกฝ่ายเย็นชาใส่กันเขาก็ทนไม่ไหว หากจะมาบอกว่าให้ห่างกัน เขาคงทรมานอย่างที่สุด


      ความเงียบระหว่างกันเกิดขึ้นอีกครั้ง ชานยอลเดินดูของไปข้างๆกับคยองซู ไม่มีใครเอ่ยอะไรนอกจากคิดกันในใจ และคยองซูก็ยอมเป็นฝ่ายแก้บรรยากาศเสียเอง



      .. ก็ไม่อยากเห็นชานยอลทำหน้าเศร้าแบบนั้นนี่นะ



      “เด็กๆซนกันจังนะครับ พ่อแม่คงเหนื่อยแย่” คยองซูพลางยิ้มอย่างเอ็นดูให้กับเด็กน้อยสองสามคนที่วิ่งรอบไปมาให้คนเป็นแม่ต้องสาละวนตะครุบกันไม่ทันที
      เดียว เหมือนกับจะเดินฆ่าเวลาในสถานที่แปลกใหม่สำหรับกัน แต่คนทั้งสองที่ใช้ชีวิตคนเดียวพอได้เห็นความอบอุ่นของคนอื่นรอบข้างก็พลอยเหงาขึ้นมาจับใจ ชานยอลมองตามพลางยิ้มเอ็นดูเช่นกัน

      “ตอนผมเด็กๆ พ่อบอกว่าดื้อมากจนแม่ปวดหัว”

      “หือ .. โตมาไม่เห็นเป็นอย่างนั้น”

      “ไม่ได้ดื้อแบบเด็ก แต่ดื้อแบบผู้ใหญ่ล่ะมั้ง” คยองซูบอกพลางไหวไหล่ให้อย่างช่วยไม่ได้ ชานยอลเห็นจึงหัวเราะก่อนจะเอื้อมมือไปยีผมของคนตัวเล็กกว่า คยองซูขยับออกพลางทำหน้างอไม่พอใจ

      “อีกแล้วนะครับ ผมอายุมากกว่าคุณอีกนะ”

      “ฮะฮะ โทษที มากกว่าตั้งหนึ่งปีแน่ะ โทษนะโทษ”

      ระหว่างที่ปาร์คชานยอลเอาแต่หัวเราะอย่างไม่รู้สึกผิดอย่างทุกที คยองซูก็หันหน้าหนีพลางบ่นอุบอยู่คนเดียว

      “นี่” จู่ๆเสียงทุ้มก็ดังขึ้น ความสนุกบนใบหน้าหายไปแล้วแทนที่ด้วยแววตาจริงจัง มือหนาจับมืออีกคนเอาไว้ไม่ยอมปล่อย คยองซูเริ่มประหม่าแต่เขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร

      “เมื่อกี้นี้น่ะ อย่าพูดอีกนะ” ชานยอลบอกด้วยสายตาแน่วแน่หากแฝงไปด้วยความอ้อนวอน

      “ผม ... ผม....”

      “อย่าบอกว่าอยากให้เราห่างกันเลยนะ ถ้าฉันไม่มีนาย....”

      “อย่าพูดนะครับ ผมไม่....”

      “ไม่ได้ต้องการฉันเลยใช่ไหม”

      ในที่สุดชานยอลก็ยื่นประโยคนี้ออกไปจนได้ เขาเองก็อยากรู้นักว่าอีกฝ่ายอยากห่างกันจริงๆอย่างนั้นหรือ โดคยองซูผู้เข้มแข็งคนนี้ ก็ไม่มีเลยสักครั้งที่จะชนะคนอย่างปาร์คชานยอลได้

      “ไม่ใช่นะ ..” คยองซูพลั้งปากรีบปฎิเสธ ในใจก็ร่ำร้องว่าทำไมต้องแคร์ผู้ชายคนนี้หนักหนา ยิ่งชานยอลทำหน้าผิดหวัง คยองซูก็ทนไม่ได้แล้ว

      “งั้นก็อย่าพูดแบบนั้นอีก”

      “..............”

      “เข้าใจมั้ย”

      “ครับ”





      โซนอาหารแช่แข็งที่เดินผ่านโดยไม่ได้ตั้งใจกำลังดึงสายตาคนทั้งสองให้หันมอง ร่างเล็กหยุดยืนมองมันพักหนึ่ง ด้วยความที่เป็นคนชอบทำอาหาร คยองซูจึงอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไม่จับมันขึ้นมาดู ทั้งแพ็คของสดเอย แพ็คผักสดเอย ไหนจะอาหารสำเร็จรูปอีกมากมาย คนที่ยืนอยู่ข้างกันจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

      “ซื้อไปก็ได้นะ ฉันรอได้”

      “ไม่เป็นไรครับ แค่คิดว่าไม่ได้ทำสุกี้นานแล้ว” คยองซูยิ้มให้ชานยอลราวกับกำลังเสียดายของที่ถืออยู่

      “งั้นก็ทำซะสิ นี่ก็เย็นมากแล้วด้วย ไม่ถือว่าเวลางานหรอกน่ะ แค่นี้เอง” ชานยอลพยักหน้าสนับสนุน คยองซูยิ้มก่อนที่จะหุบลงเมื่อนึกขึ้นได้

      “เสียดายนะครับ บังเอิญว่าผมอยู่คนเดียว ไม่ทำดีกว่า” มือเล็กเลื่อนถาดผักที่แพ็คไว้อย่างดีวางลงในที่เดิม

      “เอามาเหอะ ไปทำที่บ้านฉันก็ได้”

      “ว่าไงนะ บ้านคุณเหรอ”

      “อื้ม ไม่เคยบอกนายเหรอว่าฉันก็อยู่คนเดียว”

      “แต่ จะดีเหรอครับ”

      “อื้ม เอาสิ ของแบบนี้กินคนเดียวไม่อร่อยหรอก”


      ชานยอลจึงเป็นฝ่ายหยิบของพวกนั้นขึ้นมาแทน เรียกรอยยิ้มจากอีกฝ่ายได้ในทันที



      .. ไหนๆแพคฮยอนก็ผิดนัดแล้วนี่นะ ที่สำคัญชานยอลรู้ตัวดีว่าเขานั้นชอบช่วงเวลาที่อยู่กับคยองซูมากแค่ไหน





      อาจจะเป็นฟ้าแกล้งกันหรือเปล่า เรื่องเธอและเขา
      อยากให้ตัวฉันได้ลองพิสูจน์ จุดยืนในหัวใจ
      และในเกมส์นี้ ต้องมีน้ำตาหนึ่งคนที่ไหล
      แต่จะให้ฉันถอนตัวทุกอย่าง ก็คงสายไป







      ------------------------------





      - บ้านของชานยอล –




      เวลาอาหารเย็นอันมีค่าหมดลงไปแล้ว กลิ่นหอมของสุกี้ยากี้มื้อนี้ยังคงอบอวลอยู่ในห้องโถงของบ้านหลังนี้ ร่างสูงโปร่งที่นั่งอยู่กับพื้นได้เอนกายพิงเบาะเพราะความอิ่ม

      “อร่อยมากคยองซู นายเก่งจริงๆ” ชานยอลเอ่ยพลางเหยียดขายาวๆลอดไปใต้โต๊ะญี่ปุ่นที่ด้านบนมีเพียงหม้อสุกี้และถ้วยชามที่เกลี้ยงเพราะฝีมือ
      ของพวกเขาทั้งสอง ด้านคนตรงข้ามกลับไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้แล้ว คยองซูลุกขึ้นทยอยเก็บของบนโต๊ะเข้าไปในครัวอย่างคล่องแคล่ว

      “ไม่ต้องเก็บหรอกน่ะ นั่งก่อนเหอะ” ชานยอลตะโกนบอก

      “ไม่ได้หรอกครับ คุณก็นั่งไปเถอะ เดี๋ยวทางนี้ผมจัดการเอง”

      “เฮ้อ .. ขยันจริง ขอบใจมากนะ”


      ไม่ทันที่เสียงถอนหายใจของชายหนุ่มจะหมดไป เสียงรถด้านนอกก็ดังขึ้น
      แรงเบรกของล้อที่บดกับพื้นปูนมันคุ้นหูอย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่าใครมา ..






      “แพคฮยอน”


      ชานยอลเอ่ยขึ้นเมื่อร่างตรงหน้าปรากฏแก่สายตา แพคฮยอนหยุดยืนอยู่ตรงประตูพอดี ขณะที่คยองซูซึ่งก้มลงเก็บถ้วยจานที่โต๊ะญี่ปุ่นจะเงยหน้าขึ้นมองเช่นกัน

      “... หวัดดี กินอะไรกันแล้วเหรอ” ในที่สุดแพคฮยอนที่มองคนทั้งสองก็ถามออกมา มือที่ดูเหมือนจะหิ้วของจากตลาดมานั้นกำนิ่งไม่ขยับ คยองซูได้เพียงแค่ยิ้มให้ ส่วนชานยอลก็รีบลุกเดินเข้าไปหา

      “ไหนว่าไม่มาไง ....”

      “ก็เปลี่ยนใจน่ะนะ แต่ว่าถ้ากินอะไรกันแล้วก็ไม่เป็นไร” แพคฮยอนไม่ใช่คนที่จะเดินหนี ร่างเล็กในชุดลำลองเดินผ่านคนทั้งสองเข้าไปในครัว เขาอยากจะทำอาหารอย่างที่ตั้งใจ แม้ความตั้งใจที่มีมาแต่แรกนั้นจะไม่เหลือแล้วก็ตาม


      คนทั้งสองที่ถูกทิ้งไว้อย่างเดิมได้แต่มองหน้ากัน คยองซูมองหน้าชานยอลด้วยสายตาตัดพ้อ อยากถามเหลือเกินว่าทำไม อยากถามเหลือเกินว่าเห็นเขาเป็นตัวแทนของใคร คยองซูไม่พูดอะไรนอกจากรีบเก็บของตามแพคฮยอนเข้าไปในครัว



      “คุณมาแล้วตามสบายนะครับ เดี๋ยวตรงนี้ผมจัดการเอง จะได้รีบกลับ” คยองซูว่าก่อนจะแทรกตัวไปยังอ่างล้างจานมุมหนึ่ง แพคฮยอนปิดตู้เย็นลงหลังจากยัดของทั้งหมดที่ซื้อมาเข้าไป เขาเปลี่ยนใจแล้ว ไม่อยากทำมันแล้ว

      “คยองซู ..”

      “ว่าไงครับ”

      “นายมาที่นี่บ่อยเหรอ”

      “ครั้งแรกน่ะครับ พอดีว่าผู้กองเค้าชวนพวกผมกับคนในกองมา แต่ทุกคนดันไม่ว่างกันซะนี่ กลัวเค้าจะน้อยใจเลยมาแทนทุกคนน่ะครับ” คยองซูว่าพลางยิ้มให้นิดๆแล้วจึงหันกลับไปล้างจานต่อ

      “เหรอ .. อืม”



      แพคฮยอนเดินออกมาจากที่ตรงนั้นพลางคิดในใจว่าคำโกหกเพราะความหวังดีนั้นมันไม่เนียนเอาเสียเลย








      “ฉันกลับล่ะ”

      แพคฮยอนเดินออกมาบอกชานยอลที่ยังอยู่ที่เดิม ท่าทางแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ชานยอลลำบากใจกับเหตุการณ์ต่างๆ เขาเสียใจที่แพคฮยอนเป็นแบบนี้ ทั้งที่อีกฝ่ายแวะมาเขาก็น่าจะดีใจแล้วแท้ๆ แล้วทำไมความรู้สึกปวดแปลบมันถึงได้เกิดขึ้นได้


      “เดี๋ยว นายจะไปไหน”

      “เรื่องของฉัน”

      “ออกไปดื่มงั้นเหรอ”

      “คงจะอย่างนั้นมั้ง”


      จู่ๆการพูดคุยที่พยายามให้เป็นปกติก็เริ่มจะหมดไปพร้อมความอดทน แพคฮยอนกำมือแน่นเพื่อข่มอารมณ์แต่ชานยอลก็ไม่วายจะยื้อเขาเอาไว้

      “เลิกเหลวไหลได้แล้วน่า เลิกทำตัวแบบนี้เสียที”

      “ทำแบบนี้น่ะแบบไหน ฉันงานยุ่งจะตาย แล้วถ้าจะดื่มถ้าจะเหลวไหลบ้างแล้วมันผิดตรงไหน” แพคฮยอนถามกลับอย่างเหลืออด

      “งานยุ่งงั้นเหรอ .. ยุ่ง จนไม่เห็นอะไรเลยเหรอ”

      “เห็นอะไร เห็นนายกับ......”


      แพคฮยอนยั้งชื่อนั้นเอาไว้ซึ่งไม่บอกก็รู้ว่าหมายถึงใคร ชานยอลสะดุดไปเช่นกันกับประโยคที่ได้ยิน ชายหนุ่มรู้สึกว่าความผิดของตัวเองจะแทรกซึมเข้ามาภายในจิตใจมากขึ้นทุกที ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันสื่อความรู้สึกผ่านสายตาก่อนที่คนผิดจะเป็นฝ่ายเอ่ยออกมาเสียเอง

      “ฉันกับงาน นายเลือกอะไร” ชานยอลถามเสียงอ่อน อยากจะรู้ อยากจะมั่นใจ


      แพคฮยอนเบนสายตาไปทางด้านหลังของชานยอลที่ปรากฏร่างของใครอีกคน คยองซูไม่กล้าจะพูดอะไรนอกจากยืนยู่กับที่ แพคฮยอนหันหลังให้ชานยอล เปลือกตาทั้งคู่ปิดลงอย่างเก็บกลั้น



      เลือกอะไรงั้นเหรอ ...
      นายถามฉันได้ดีเหลือเกินนะ นายมันแย่ที่สุด นายมันใจร้าย




      “แหงล่ะ ฉันก็ต้องเลือกงานอยู่แล้ว”

      พูดจบก็เดินออกจากบ้านไป ชายหนุ่มพารถคันคู่ใจออกไปจากบ้านหลังนี้แล้ว







      จะยังไงคนนึงก็ต้องเจ็บ
      หากว่าฉันตัดสินใจ
      จะยังไงคนนึงก็ต้องปวด
      จะให้ฉันทำยังไงกับเหตุการณ์นี้






      ความเงียบปกคลุมไปทั้งห้องโถง ร่างสูงโปร่งทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวนุ่ม ชานยอลก้มหน้าซุกอยู่กับฝ่ามือทั้งสองข้าง ความสับสนแล่นร้าวไปทั่วทั้งศีรษะ คยองซูเห็นอย่างนั้นก็เดินเข้ามานั่งข้างๆด้วยความเป็นห่วง

      “ชานยอล คุณโอเคนะ”

      “ไม่ ไม่โอเคเลย ฉัน ... ทำไมนะ ทำไมต้องเป็นแบบนี้” นายตำรวจหนุ่มที่ปกติมักจะควบคุมสถานการณ์ต่างๆได้ดี หากแต่ตอนนี้กลับหมดท่าสิ้นเชิง เรื่องง่ายๆอย่างนี้ทำไมชานยอลถึงได้หนักใจเหลือเกิน คนที่ได้เพียงแค่มองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน



      .. ขอร้องเถอะชานยอล อย่าทำหน้าแบบนี้ อย่าทำเหมือนจะร้องไห้




      “บางทีนะครับ แพคฮยอนเค้าคงไม่ได้ออกไปดื่มหรือทำตัวไม่ดีอย่างที่คุณคิดหรอก หรือบางทีที่เค้าดื่มบ่อยๆ มันอาจไม่ได้มาจากความต้องการของเค้าเองก็ได้” คยองซูเอ่ยขึ้นเบาๆ พูดแค่นี้ก็รู้กันแล้วว่าหมายถึงอะไร


      ชานยอลเงยขึ้นมองหน้าคนข้างกาย

      “นายหมายความว่ายังไง”

      “หึ .. คุณเองก็รู้ดี อย่าให้ผมต้องอธิบายเลย”

      “...............”

      “แพคฮยอนรักคุณมากนะ”

      “นายจะรู้อะไร” ชานยอลตอบกลับทันควันอย่างไม่ยอมรับสิ่งที่คยองซูพยายามจะบอก ยิ่งพูดกลับเหมือนการแก้ต่างให้อีกคนมากกว่า แต่ชานยอลจะรู้อะไรไหม .. ว่าในความเป็นจริง นอกจากตัวเขาแล้วจะมีคนที่เสียใจอยู่อีก

      “ครับ ผมมันไม่รู้อะไร ไม่เคยรู้อะไรเลย”

      “คยองซู...”

      “เหมือนที่คุณไม่เคยรู้เลยว่าผมรู้สึกยังไง ผมอึดอัดแค่ไหนที่...”

      “..............”

      “ขอโทษนะ ผมกลับดีกว่า” คยองซูยกมือปาดหยดน้ำตาเม็ดเล็กให้หายไปก่อนที่มันจะไหลออกมา ร่างเล็กลุกขึ้นแต่กลับถูกมือหนาคว้าเอาไว้เสียก่อน

      “เดี๋ยว อย่าเพิ่งไป อยู่กับฉันก่อน”

      ชานยอลดึงร่างของคยองซูลงมาที่เดิมก่อนที่จะยื่นใบหน้าเข้าซบลงที่บ่าเล็กๆราวกับคนหมดหนทาง ชานยอลซบหน้าอยู่กับคยองซูอย่างนั้น




      “ผมไม่ใช่ตัวแทนของใคร ไม่ใช่คนที่คุณเรียกหาเฉพาะเวลาที่เหงา หรือเวลาที่เค้าไม่อยู่”

      “ขอโทษ ...”

      “ก็ในเมื่อเราทำไม่ถูก คุณทำไม่ถูก ผมก็ทำไม่ถูก แล้วทำไมเราไม่ทำให้ถูก”

      “ฉันขอโทษ...”

      “..............”





      .. ก็แค่คำขอโทษ สรุปแล้วที่คุณทำไปมันก็เป็นเพราะแค่คุณทำผิดงั้นเหรอ









      แต่จะบอกว่ารักเธอไหม ก็รัก
      แต่จะบอกว่ารักเขาไหม ก็รัก
      แต่จะบอกว่า ตัวฉันเองก็ลำบากไปทั้งหัวใจ
      และจะบอกว่ามีหนึ่งคนเท่านั้น
      ที่จะได้เข้ามาอยู่ภายในหัวใจ
      และไม่ว่าอย่างไร ในคำตอบสุดท้าย..
      ก็ไม่ได้อยากทำร้ายใคร






      -----------------------------------------





      สามวันผ่านไปแล้ว ..
      นับตั้งแต่วันนั้นมาแพคฮยอนและชานยอลก็ยังไม่ได้เจอกันอีกเลย ชานยอลคิดว่าฝ่ายนั้นก็คงจะยุ่งอยู่กับงานอย่างเคย

      นายตำรวจหนุ่มที่ยังอยู่ในอาการสับสนและไม่สบายใจจึงทำได้เพียงแค่ให้แต่ละวันผ่านไป

      ปาร์คชานยอลรู้ดีว่าทำไมปัญหานี้มันแก้ไม่ได้ ทำไมเขาถึงไม่คิดจะปรับความเข้าใจกับแพคฮยอน ทำไมถึงไม่เลือกที่จะทำอะไรสักอย่าง .. นั่นก็เพราะเขาต้องเลือก ใช่ หากยังต้องเลือกเรื่องทุกอย่างก็ยังต้องหยุดอยู่อย่างนี้

      ระหว่างที่หัวใจยังหาคำตอบไม่ได้ คนข้างกายก็ยังเป็นคนๆเดิม เขาทั้งสองหนีกันไม่ออกเพราะงานที่รับผิดชอบร่วมกันนั้นกำลังอยู่ในความเร่งรัด






      อากาศหนาวเหน็บยามเย็นวันนี้อีกไม่ถึงชั่วโมงแสงแดดอ่อนก็คงหายไปแล้วที่ด้วยความมืด รถคันหนึ่งจอดเทียบกับฟุตบาทชานเมือง



      บริเวณหน้าร้านจาจังมยอนข้างทาง ภายในร้านที่มีไม่กี่โต๊ะเต็มไปด้วยลูกค้าที่ต่างคนต่างกินอาหารไปอย่างไม่สนใจกัน ชานยอลและคยองซูเพิ่งกลับจากโรงพยาบาลนอกเมืองที่เพิ่งไปเก็บข้อมูลกันมา ปัญหามันเยอะจนไม่มีเวลาจะหาอาหารใส่ท้องกันเลยทีเดียว โชคดีที่มีร้านเจ้าประจำที่เคยแวะกัน

      “นายคงหิวแย่ กินเสร็จแล้วฉันจะเลยไปส่งที่บ้านนะคยองซู” ชานยอลบอกขณะที่คีบเส้นจาจังมยอนเข้าปากในทันที อีกคนก็ได้แต่พยักหน้าให้และก้มหน้าจัดการในส่วนของตัวเองด้วยความหิวเช่นกัน

      คยองซูลอบมองคนตรงหน้าเพียงนิด ในใจแอบคิดไปกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่าย ปกติแล้วชานยอลจะมีรอยยิ้มให้เขาบ้างไม่มากก็น้อย แต่ตอนนี้มันกลับต่างไป หากให้เดาคยองซูก็ขอตอบว่าคงไม่พ้นเรื่องแพคฮยอนแน่ๆ ชานยอลกำลังเสียใจกับเรื่องคนรักของตัวเองเป็นแน่

      คิดได้อย่างนั้นความน้อยเนื้อต่ำใจก็ประดังกันเข้ามาอีกเป็นสาย ยังไงอีกฝ่ายก็แคร์ใครอีกคนอยู่ดี เขามันก็แค่คนที่คอยอยู่ข้างๆในเวลาที่ไม่มีใคร คยองซูบอกตัวเองไว้ว่าหากเป็นไปได้เขาจะพยายามห่างจากชานยอล ขอให้ทุกอย่างระหว่างคนทั้งสองกลับมาเหมือนเดิมเขาถึงจะวางใจ
      ถึงเวลาแล้วล่ะ คยองซูไม่อยากเป็นคนมาทีหลังที่ทำให้คนสองคนต้องผิดใจกัน





      Rrrrrrrrr

      เสียงโทรศัพท์ของชานยอลดังขึ้น ชายหนุ่มหยิบมันออกมาดูที่หน้าจอ ท่าทางนิ่งไปทำเอาคนมองสงสัยไปด้วย

      “ใครกันเนี่ย...” ชานยอลขมวดคิ้วก่อนจะกดรับสาย ร่างสูงเงียบไปก่อนจะเหลือบมองคนตรงหน้าแล้วกลับมาสนทนาต่อไม่กี่ประโยค คยองซูก็ทำทีไม่สนใจตามมารยาท



      “คยองซู”

      “ครับ”

      “รออยู่นี่นะ เดี๋ยวฉันมารับ”

      “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ” คยองซูถามกับท่าทีแปลกไปของชานยอล ดูเหมือนอีกฝ่ายกำลังรีบร้อน

      “ก็ไม่เชิงหรอก ดูเหมือนแพคฮยอนจะไปอาละวาดอยู่ที่ผับน่ะ เพื่อนเค้าโทรมาให้ไปรับ ฉันเป็นห่วงน่ะเลยจะรีบไป”

      “ครับ คุณไปเถอะ ไว้เดี๋ยวผมกลับเองได้”

      “นายรออยู่นี่แหละดีแล้ว”

      “ไม่เป็นไรครับ ผมกลับเอง...”

      “ฉันพามาก็จะพาไปส่ง บอกให้รอก็รอเถอะ เข้าใจมั้ย” ชานยอลบอกด้วยเสียงจริงจัง แววตาคู่นั้นติดจะเครียดนิดๆหากคยองซูสังเกตไม่ผิด

      “ครับ”





      ชานยอลจากไปแล้ว เหลือเพียงตัวเขาที่ต้องรออยู่ตรงนี้ คยองซูมองไปยังเสื้อนอกของชานยอลที่พาดเอาไว้บนเก้าอี้อีกตัว ความร้อนรนเพราะเป็นห่วงทำให้อีกฝ่ายลืมเสื้อเอาไว้


      “ถ้าออกไปแล้วไม่หนาวก็คงดี.....” คยองซูก็แค่คิด





      --------------------------





      “เฮ้!! ปล่อยน่ะ มันเจ็บปล่อยโว้ย....”



      เสียงร้องลั่นบ้านไม่มีท่าทีหยุดลงง่ายไม่ว่าคนตัวสูงกว่าจะพยายามพูดดีด้วยแค่ไหนก็ตาม

      ชานยอลพาแพคฮยอนกลับมาที่บ้านของเขาโดยทิ้งรถอีกฝ่ายเอาไว้ที่นั่น สภาพแพคฮยอนในตอนนี้ช่างดูไม่น่ารักเอาเสียเลย เอาแต่ยืนตาขวางมองชานยอลที่ยืนปิดทางออกตรงประตูเอาไว้

      “ถอยไป นายมีสิทธิ์อะไรมาบังคับฉัน”

      “พอเถอะแพคฮยอน นายเมาแล้ว”

      “อืม เมา แต่มันไม่ได้แปลว่าฉันไม่มีสติ” ใบหน้าเล็กเชิดขึ้นอย่างรู้ตัวดี ชานยอลไม่เถียงสักคำ เขารู้ว่าแพคฮยอนไม่ได้เมาแบบคนไม่มีสติ

      “ฉันรู้ แต่แค่อยากให้เราคุยกันดีๆ แล้วที่นายไปอาละวาดที่ผับน่ะ มันใช่เรื่องดีที่ไหน ไม่ใช่เด็กแล้วนะแพคฮยอน เลิกเหลวไหลได้แล้ว”

      “คำก็เหลวไหลสองคำก็เหลวไหล” แววตาคู่เรียวจ้องอีกฝ่ายพร้อมกับคำตัดพ้อที่ชานยอลคงอาจจะฟังไม่ออก


      แพคฮยอนนิ่งไปก่อนจะนั่งลงที่โซฟาตัวใหญ่แล้วเริ่มพูดช้าๆ

      “ฉันน่ะ ไม่ได้อาละวาดนะชานยอล แค่โต๊ะนั้นมันมาหาเรื่องก่อน” แพคฮยอนพูดดีๆ ซึ่งแน่นอนว่าชานยอลรู้ เขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล แต่ก็เพราะแบบนี้แหละที่น่าห่วง ซื่อตรงเกินไปมันก็อาจทำให้ลำบากได้

      “แพคฮยอน ฉันถามจริงๆนะ ... นอกจากเรื่องงานแล้ว นายคิดเรื่องของฉันบ้างไหม” ชานยอลก้มหน้าถามคนที่นั่งอยู่

      “ถามจริงๆงั้นเหรอ งั้นฉันขอถามบ้างได้ไหม ว่านายโง่หรือแกล้งไม่รู้ นายรู้แต่เรื่องที่ฉันทำไม่ได้ แล้วที่ฉันเป็นแบบนี้เพราะใคร...”

      “งาน...”

      “ใช่!! งานไง คำก็งานสองคำก็งาน ใช่ ฉันมันคนบ้างาน ส่วนเรื่องของเราฉันก็ไม่เอาไหนเลย ไม่เคยสนใจนาย ไม่เคยทำอะไรดีๆให้นาย เอาแต่ใจกับนายได้ตลอด...”

      “ฉันไม่ได้ว่านายไม่ดีนะ ...”

      “แต่นายมันไม่เคยรู้ ว่าคนไม่ดีอย่างฉันจะคิดเรื่องนายตอนไหนบ้าง เพราะฉันไม่เคยบอกใช่ไหมนายถึงไม่รู้ ไม่เคยรู้เลยว่าฉันคิดยังไง ฉันมันผิดเองที่ไม่คิดถึงใจนาย เพราะงั้นเวลาที่ฉันคิดถึงนาย ต่อให้คิดถึงมากแค่ไหนนายก็คงไม่สามารถรับรู้มัน .. ฉันผิดเอง”

      “.............”

      “แต่รู้ไว้นะ ว่านอกจากนายแล้ว ฉันไม่เคยมองคนอื่น”



      ถึงตรงนี้สองสายตาก็สบกันนิ่ง คนที่เคยถามกลับเป็นฝ่ายถูกต้อนกลับด้วยสายตาคู่นั้นที่มองมา







      แต่จะบอกว่ารักเธอไหม ก็รัก
      แต่จะบอกว่ารักเขาไหม ก็รัก
      แต่จะบอกว่า ตัวฉันเองก็ลำบากไปทั้งหัวใจ
      และจะบอกว่ามีหนึ่งคนเท่านั้น
      ที่จะได้เข้ามาอยู่ภายในหัวใจ
      และไม่ว่าอย่างไร ในคำตอบสุดท้าย..
      ก็ไม่ได้อยากทำร้ายใคร











      เกือบสองชั่วโมงแล้วที่คยองซูนั่งอยูที่ร้านข้างทางนี้ เขานั่งมองลูกค้าคนแล้วคนเล่าผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านออกไป วนเวียนกันอยู่อย่างนี้จนค่ำ และในตอนนี้เองที่เขาจำต้องจ่ายค่าอาหารแล้วเดินออกมาด้านนอกที่เป็นสวนสาธารณะ คยองซูมองคุณลุงเจ้าของร้านกำลังเก็บร้านพลางเดินห่างออกมา


      ชายหนุ่มนั่งลงที่ม้านั่งตัวหนึ่ง อาศัยแสงไฟสลัวจากหลอดแก้วรอบสวนสาธารณะในคืนนี้เป็นเพื่อน เขาวางเสื้อนอกที่ไม่ใช่ของตัวเองเอาไว้ที่หน้าตัก มือข้างหนึ่งจับมันเอาไว้มั่นพลางนึกถึงคำพูดที่เจ้าของมันบอกเอาไว้ว่าให้รอ


      .. ถ้าคุณไม่มาผมก็ไม่โกรธหรอกนะ ขอให้ปรับความเข้าใจกับเค้าได้ก็พอ


      คิดแล้วน้ำตาก็พาลจะไหล คยองซูห้ามความรู้สึกปวดหนึบในอกไม่ได้อีกต่อไปแล้ว






      -----------------------------





      “นายเมามากแล้ว ไว้เราค่อยคุยกันดีกว่าแพคฮยอน .. ค้างที่นี่ก็ได้นะ” ชานยอลเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบระหว่างกัน เขาก้มมองนาฬิกาข้อมือที่บอกว่ามันผ่านมาหลายชั่วโมงแล้ว ใครอีกคนที่เขาทิ้งเอาไว้คงกำลังรออยู่เป็นแน่

      “นั่นนายจะไปไหน” แพคฮยอนถาม

      “ฉันทิ้งคยองซูเอาไว้ก่อนมาหานาย เค้ารอฉันอยู่”

      “นายแคร์หมอนั่นมากเลยนะ”

      “.............”



      ชานยอลเงียบไปกับพูดของแพคฮยอน แต่มันมาถึงตรงนี้แล้ว เขาคงจะหนีเหตุการณ์ทุกอย่างไม่ออกอีกแล้ว แต่เวลานี้สิ่งหนึ่งที่ชานยอลอยากจะถามออกไปไม่ใช่เพื่อให้หายข้องใจ แต่เพื่อความชัดเจนที่เขาอยากได้ยิน

      “แพคฮยอน นายยังรักฉันอยู่ไหม”

      “.............”

      “ไม่กล้าตอบ กลัวฉันเสียใจรึไง”

      “เปล่า .. ที่ไม่กล้าตอบ เพราะฉันมันคงดีไม่พอ แล้วนายล่ะ รักฉันอยู่รึเปล่าชานยอล”

      ครั้งนี้เป็นแพคฮยอนที่ถามกลับ ใจดวงน้อยเอ่ยออกไปราวกับยื่นใบลาให้อีกฝ่ายเซ็นมัน แพคฮยอนรู้ดีกับคำตอบที่ในวันนี้มันคงไม่เหมือนวันนั้น

      “เห็นมั้ยล่ะ ตอบไม่ได้ใช่ไหม”

      ชานยอลรู้สึกผิดกับคนตรงหน้าที่มองเขาด้วยสายตาตัดพ้อ สิ่งเดียวที่ชานยอลอยากบอกเหลือเกินว่าที่ไม่มีทางเปลี่ยนเลยคือหัวใจของเขาที่แพ้กับสายตาแบบนี้


      หากเป็นแต่ก่อนชายหนุ่มคงจะเดินเข้าไปหาแล้วกอดร่างนั้นเอาไว้แนบอก ไม่ให้ต้องเสียใจหรือร้องไห้ แต่ตอนนี้ล่ะ เขายังมีสิทธิ์จะทำมันอยู่อีกรึเปล่า


      “นายเคยถามฉันใช่มั้ยว่างานกับนายฉันจะเลือกอะไร ... งั้นฉันถามกลับได้มั้ย ว่าฉันกับเค้า นายจะเลือกใคร”

      “แพคฮยอน ฉัน......” ชานยอลไม่สามารถพูดอะไรออกได้อีก หัวใจมันสับสนเกินบรรยายได้ในตอนนี้ จะก้าวไปทางซ้ายก็ไม่กล้า จะก้าวไปทางขวาก็กลัว เขาถามตัวเองว่าเลือกไม่ได้หรือไม่ยอมเลือกกันแน่

      “ไปเถอะชานยอล เค้ารอนายอยู่ไม่ใช่เหรอ” แพคฮยอนพูดเสียงอ่อนพลางหันหน้าหนีไปอีกทาง ไม่อยากจะมองไม่อยากจะรับรู้อะไรไปมากกว่านี้

      “แพคฮยอน ฉัน ฉันขอโทษ ฉันไม่อยากทำให้ใครต้องเจ็บอีก”

      “ไม่ต้องหรอก ฉันมันไม่ดีเอง นายไปได้แล้วล่ะ”

      “แต่ฉัน ....”

      “พอแล้ว!! เลิกพูดได้แล้ว”

      “แพคฮยอน...” ชานยอลที่ทำท่าจะก้าวเข้าไปหาก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเจอกับสายตาของคนตรงหน้าที่กำลังบอกเขาว่าอย่าเข้ามา

      “ยอมรับความจริงซะทีชานยอล”















      “ฮึก............”

      คยองซูเกลียดตัวเองที่สุดกับเรื่องแบบนี้ น้ำตาบ้านี่มันจะไหลออกมาทำไมกันนะ ชายหนุ่มก้มหน้าปาดมันออก ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่นเพื่อกลั้นก้อนสะอึกเอาไว้ ตอนนี้เสื้อตัวหนาที่เขาวางมันไว้ที่ตักได้กลายมาเป็นส่งที่ช่วยให้อบอุ่นมากขึ้น กลิ่นของเจ้าของมันยิ่งทำให้กายที่หนาวสั่นขดเข้าหากันมากขึ้น

      ถึงเขาจะไม่ใช่คนสำคัญ เป็นแค่คนๆหนึ่งของอีกฝ่าย แค่คำว่าให้รอ คนโง่คนนี้ก็ยินดีจะรอต่อไป
















      “จะยืนอยู่อีกนานมั้ย หรือจะให้ฉันเป็นฝ่ายไปหาเค้าแล้วบอกว่าฉันต่างหากที่มาก่อน”

      “อย่าทำนะแพคฮยอน....”

      “นั่นไงล่ะ”



      ชานยอลไม่ได้ตั้งใจจะพูดออกไป เขาหลุดความเป็นห่วงใครอีกคนออกมาอย่างไม่ทันคิด ต่างกับแพคฮยอนที่จงใจพูดแต่พอได้ยินในสิ่งที่คิดไว้ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่ามันเสียใจแค่ไหน .. ชานยอลห่วงคนๆนั้นมาก แพคฮยอนรู้ดี

      คนที่ถูกไล่ต้อนให้จนมุม คนที่ถูกทำให้ต้องเลือกสักทาง จะเป็นใครไม่ได้นอกจากตัวเขาเอง



      ปาร์คชานยอลคนนี้ คนที่มีหัวใจไว้เพื่อพยอนแพคฮยอนเสมอ หากแต่ในตอนนี้ที่มีโดคยองซูก้าวเข้ามา หัวใจของเขามันก็เริ่มสั่นคลอน

      .. แค่เพียงความหวั่นไหวและความใกล้ชิดอย่างนั้นหรือ แค่ความอบอุ่นเวลาที่ได้อยู่ใกล้ หากเพียงแค่นั้น เขาจะสามารถเรียกมันว่าความรักได้หรือเปล่า แล้วคนตรงหน้าที่มาก่อนล่ะ แล้วคนๆนั้นที่รอเขาอยู่ล่ะ



      “ในเมื่อฉันต้องตัดสินใจ และมันจะต้องทำร้ายใครสักคน .. ฉันก็คงต้องทำ” ชานยอลพูดออกมาด้วยความรู้สึกผิด รู้สึกผิดมากแต่หากไม่เลือก มันจะยิ่งผิดไปมากกว่านี้

      ร่างสูงของเจ้าของบ้านหันหลังให้อีกคนที่นั่งก้มหน้าอยู่ ชานยอลชะงักฝีเท้าลง อยากหันกลับไปหาแต่หัวใจของเขามันสั่งว่าคนที่นั่งอยู่นั้นไม่ได้กำลังรอเขาอยู่เลย ร่างสูงถอนหายใจก่อนจะก้าวออกไป

      “เดี๋ยวก่อนชานยอล”

      แพคฮยอนเอ่ยเรียกเอาไว้ ชานยอลหยุดยืนที่หน้าประตูพลางตั้งใจฟังสิ่งที่อีกฝ่ายอยากจะพูด


      “ที่นายถามฉันว่ายังรักนายไหม มันไม่สำคัญหรอกนะ”

      “................”

      “มันสำคัญตรงที่นายต่างหาก นาย .. ที่รักเค้าไปแล้ว”










      ชานยอลออกไปแล้ว และไม่ว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกผิดแค่ไหน แพคฮยอนก็ไม่เคยจะคิดโทษใครเลยนอกจากตัวเอง เขาไม่ได้ผิดกับการกระทำสักเท่าไหร่ หากจะผิดก็ผิดที่ทำให้อีกฝ่ายยังรักเหมือนเดิมไม่ได้ .. ก็เท่านั้น

      ชายหนุ่มนั่งนิ่งอยู่กับตัวเองและความเงียบ สิ่งที่กลั้นเอาไว้มาตลอดก็ได้พังลง น้ำตาเม็ดโตที่แทบจะไม่ยอมให้ใครได้เห็นกำลังหลั่งรินลงมาอาบแก้ม ดวงตาคู่เรียวกวาดมองไปรอบๆห้องโถงของบ้านหลังนี้ ความทรงจำที่เคยมีหลั่งไหลเข้ามาในสมองที่ไม่อยากจะรับรู้อะไรอีก

      แพคฮยอนพาร่างของตัวเองออกมาจากบ้านหลังนั้นให้เร็วที่สุด มือบางยกปาดน้ำตาออกจากใบหน้าก่อนที่หยดใหม่จะไหลอาบลงมาอีกเป็นสาย

      “ให้ตายสิ ... จะไหลอะไรนักหนานะน้ำตาบ้านี่”

      ถ้าแพคฮยอนได้บอกกับชานยอลอีกสักครั้ง เขาก็อยากจะบอกเหลือเกินว่าสำหรับเขาแล้ว ความรู้สึกที่มี มันยังเหมือนเดิมเสมอ






      -----------------------




      “แย่ล่ะสิ....”

      คยองซูผู้ไม่เคยนึกว่าตัวเองจะโชคดีเท่าไหร่ แต่ก็ไม่นึกเลยว่าจะโชคร้ายขนาดนี้ ในขณะที่เขากำลังนั่งตากลมหนาวค่ำๆมืดๆอย่างนี้ ท้องฟ้าเจ้ากรรมก็ดันส่งฝนให้ตกลงมาเสียนี่ ชายหนุ่มรีบลุกออกจากม้านั่งก่อนจะวิ่งหาที่หลบฝน คนอื่นที่อยูในบริเวณนี้มีจำนวนไม่มากมายนัก บางคนที่เดินเล่นก็วิ่งหลบไปยังชายคาของร้านค้าข้างทาง บ้างก็ขับรถออกไป บ้างก็กางร่มแล้วเดินไปไหนสักที่


      คยองซูเห็นต้นไม้มุมหนึ่งของสนามเด็กเล่นซึ่งน่าจะใช้หลบฝนได้จึงวิ่งเข้าไปยืนหลบอยู่แถวนั้น ชายหนุ่มขดกายเข้าหากันโดยมีเสื้อตัวใหญ่คลุมร่างเอาไว้

      นี่เขากำลังทำบ้าอะไรอยู่ ชานยอลคงไม่มาแล้ว ทำไมต้องทำตัวโง่เง่าแบบนี้กัน
      แม้ใจหนึ่งจะบอกแบบนั้น แต่อีกใจมันก็ยังดื้อดึง



      .. ก็เคยบอกคุณแล้วนี่นะ ว่าผมมันดื้อ




      ความมืดกับเม็ดฝนหนักๆที่ตกไปทั่วทุกสารทิศรอบกาย ทำให้สายตาของเขามองอะไรไม่ค่อยสะดวก ร่างสูงยืนถือร่มอยู่ที่หน้าร้านจาจังมยอนซึ่งตอนนี้ปิดไปแล้ว โทรหาก็ไม่ติดคงเพราะสัญญาณไม่ดี

      “คยองซู คยองซู!” เสียงทุ้มตะโกนร้องหาอีกคนที่เขาคิดว่าน่าจะยังรออยู่ ชานยอลมองไปรอบๆก่อนจะเดินออกไปหาอีกทาง แต่มืดแบบนี้และฝนก็ตก คยองซูคงไม่รอเขาแล้วล่ะมั้ง


      จู่ๆชานยอลก็หยุดชะงักกับความคิดของตัวเองที่มันล้าเต็มที เขาไม่อยากให้เป็นแบบนี้เลย แต่ลางสังหรณ์ในใจมันบอกว่าอีกฝ่ายยังรอเขาอยู่ ยังรอเขาอยู่ที่นี่




      ชานยอลวิ่งออกมาจากที่ตรงนั้น เขาถือร่มวิ่งออกมาสวนสาธารณะด้านข้าง




      ขณะที่คยองซูก็วิ่งออกมาเช่นกัน เพราะหากยังหลบฝนอยู่ตรงนั้นชานยอลก็คงหาเขาไม่เจอ





      ต่างฝ่ายต่างวิ่งออกมาจากที่ของตัวเองทั้งที่เตรียมใจไว้กับความผิดหวัง .. ไม่อยากจะหวัง แต่ก็ยังแอบหวัง ..หัวใจของทั้งสองที่กำลังตรงกัน





      “คยองซู!”


      ชานยอลหยุดยืนกับร่มในมือ คยองซูที่เปียกปอนก็หยุดอยู่กับที่เช่นกัน รอยยิ้มนั้นส่งมาถึงชานยอลในทันที ร่างสูงเห็นอย่างนั้นก็ทั้งโมโหทั้งเป็นห่วง ชายหนุ่มทิ้งร่มในมืออกไปแล้ววิ่งตรงเข้าไปหาคนตรงหน้า


      ชานยอลคว้าร่างที่เปียกปอนของคยองซูเข้ามากอดไว้แน่นท่ามกลางสายฝน รอยยิ้มที่ค้างอยู่บนใบหน้าของคนตัวเล็กกลับค้างไปมากกว่าเก่า คยองซูยืนนิ่งให้ชานยอลกอด เขากำลังไม่เข้าใจว่าทำแบบนี้ทำไมกัน

      “คุณ.....”

      “ดึกแบบนี้แล้วฝนก็ตก วิ่งออกมาให้เปียกทำไม ไม่สบายขึ้นมาจะทำยังไง” เสียงทุ้มเอ่ยด้วยความโมโหหากแต่แฝงไปด้วยความจริงจัง ชานยอลพูดไปทั้งที่ยังกอดคยองซูไว้อย่างนั้น ใบหน้าหล่อเหลาแนบลงกับไหล่เปียกชื้นของคนในอ้อมกอด

      “ชานยอล..”

      “ทำไมต้องรอฉันด้วย ทำไมไม่กลับไปก่อน”

      “ก็คุณ บอกให้รอ”

      “นายนี่มัน .. รู้ไหมว่าฉันเป็นห่วงแค่ไหน” เสียงทุ้มเอ่ยแผ่วเบา แต่ก็ดังมากกว่าเสียงฝนให้ได้ยิน

      “ชานยอล คุณ เป็นอะไร เรื่องแพคฮยอนเรียบร้อยแล้วเหรอ”

      “อืม”

      “แล้วคุณ กอดผมทำไม ปล่อยเถอะ”

      “ไม่ ฉันจะไม่ปล่อยนายไปไหนอีกแล้วคยองซู”

      “ทำไม” คยองซูถาม เขาไม่เข้าใจเลยว่าอีกฝ่ายจะมาพูดแบบนี้ทำไม



      “อย่าทำแบบนี้ได้ไหม ชอบนักเหรอกับการทำให้ใจของใครเค้าหวั่นไหว .. แค่นี้ผมก็แพ้คุณจะแย่แล้ว อย่าให้ความหวังทั้งที่มันผิดเลยชานยอล” คยองซูผลักอีกคนออก ใบหน้าขาวๆเงยมองด้วยสายตาตัดพ้อต่อว่า เม็ดฝนหยดแล้วหยดเล่าตกกระทบบนใบหน้าปนไปกับน้ำตาให้แยกกันไม่ออก


      ชานยอลทั้งสงสารทั้งรู้สึกผิด

      “ไม่มีอีกแล้วคยองซู ไม่ต้องมีความหวังอะไรอีกแล้ว นายไม่ต้องหวังอีกแล้ว”

      “...............”

      “ไม่ต้องคิดด้วยว่ามันผิดหรือถูก ถ้าจะผิดก็ผิดที่ฉัน เพราะฉันเลือกนาย”

      “ชานยอล....”

      คยองซูอึ้งไปกับสิ่งที่ได้ยิน เขาควรจะดีใจหรือเสียใจกันแน่ ตอนนี้เหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอให้พูดไม่ออก

      “ฉันผิดต่อแพคฮยอน ผิดต่อนาย .. แต่ตอนนี้ฉันจะไม่ทำแบบนั้นอีก อะไรที่มันเป็นไป ฉันขอโทษ”

      “แต่ แต่ว่า....”

      “ฉันกับเค้า เราจบกันแล้ว”



      ถึงตรงนี้ลมหายใจของคยองซูก็สะดุดกึกกับประโยคที่ชัดเจนของชานยอล

      “คุณทำแบบนี้ทำไม ทำแบบนั้นกับ..”

      “กับคนที่ฉันไม่อยากทำร้ายเค้าอีกต่อไปน่ะเหรอ ฉันทำแบบนี้ดีที่สุดแล้ว”

      ได้ยินอย่างนั้นคนฟังก็ไม่มีสิทธิ์ค้านอะไรออกไป ถูกของชานยอล ไม่ว่าจะทางไหนอีกฝ่ายก็ได้เลือกแล้ว

      ร่างสูงสังเกตได้ว่าคนในอ้อมกอดนิ่งไป จึงค่อยๆคลายแขนลง

      “ไม่ดีใจเหรอคยองซู นายไม่ได้รักฉันเหรอ”

      “ผมเนี่ยนะ ผมน่ะรัก...” คยองซูหยุดคำพูดเอาไว้เพราะคิดว่ามันไม่ควร

      “ฉันรักนาย ฉันปล่อยมือจากเค้าไปแล้ว .. เพราะงั้น ขอร้องล่ะ อย่าปล่อยมือจากฉันไปเลยนะ” ชานยอลว่าแล้วก็คว้าร่างตรงหน้าเข้ามากอดไว้อีก คนในอ้อมกอดจะรู้บ้างไหมนะว่าใครกันแน่ที่ทำให้ใจของใครต้องหวั่นไหว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ชานยอลรู้ตัวแล้วว่าขาดคยองซูไม่ได้จริงๆ เหมือนกับคยองซูที่คิดว่าตัวเองคงหนีไปไหนไม่ได้แล้วเหมือนกัน



      “ครับ”



      สองร่างที่เปียกปอนกอดกันและกันเอาไว้แน่น





      สายฝน ในยามค่ำคืน
      ดวงดาว ในยามมืดมิด
      หากใช้เพียงหัวใจ ..ต่างเข็มทิศ








      “ผมก็รักคุณ ชานยอล”











      และจะบอกว่ามีหนึ่งคนเท่านั้น ที่ได้เข้ามาอยู่ภายในหัวใจ
      และไม่ว่าอย่างไร ในคำตอบสุดท้าย .. ก็ไม่ได้อยากทำร้ายใคร

























      .
      .

      fin. [SF] Choose ... (Baekhyun x Chanyeol x D.O.)






























      จบแล้วค่ะ ... ^^!

      ณ ตอนนี้ไม่รู้จะทอล์คอะไร ถ้าจำไม่ผิดตอนที่แต่งจบ ตัวเองก็เงิบไปพอสมควร
      ได้แต่อุทานออกมาว่า "อะไรเนี่ย?" (คือมันเขียนยากกว่าที่คิดและหลุดคอนเซปท์ไปหน่อยๆ)

      อยากบอกกับเมนรองว่า ในเรื่องนี้ เธอช่างเป็นผู้กองที่น่าหมั่นไส้ที่สุดในโลกเลย
      จากที่เห็นใจ ไปๆมาๆอดคิดไม่ได้ว่า ไม่เห็นใจเธอแล้ว ...ฮา
      นูน่าว่าเธอสเน่ห์แรงไปนะตาปาร์คชานยอล (ผู้กองสุดหล่อ)

      ส่วนบทนุ้งโด้ อันนี้มีแนวทางสุดๆ แต่แต่งไปขัดใจไป อยากจับให้น้องหนีผู้กองคนนี้ไปเลย
      อยากให้น้องเป็นฝ่ายยื่นคำขาดว่า จะเลิกไม่เลิก ไม่เลิกก็อย่ามายุ่งกัน .. ทำนองนี้ ==*

      สุดท้าย!! แบคลูกของหม่ามี้ *วิ่งไปกอดเอาไว้แนบอก*
      คือตอนจบของหนูเนี่ย หม่ามี้แทบจะล้มโต๊ะฟิคเรื่องนี้แล้วจับทำชานแบคให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย

      พอแล้วค่ะ .. จบเหอะ จบการเวิ่นค่ะ


      *เรื่องนี้เป็นเรื่องที่2ของเอ็กโซ เรื่องแรกจับฟิคเก่ามารีไคแบค
      เรื่องต่อไป ก็คงมิวายจับพยอนแพคใส่พานถวายเสี่ยกัมจง ~ ~


      ขอบคุณนะคะ เจอกันเรื่องหน้าค่ะ ^^V





      ปล.ไม่ได้แอนตี้ชานแบคนะคะ ชอบชานแบคนะ ครึครึ~













      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×